จี้รัฐบอกข้อมูลสารพิษแม่น้ำกกให้ชาวบ้านตรงไปตรงมา ห่วงสถานการณ์ดำดิ่ง สื่อมวลชนกลุ่มใหญ่ลงพื้นที่เจาะลึกข้อเท็จจริง นักวิชาการแนะคุยกับว้าให้ชัดเจน

 เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2568 มูลนิธิพัฒนาชุมชนและเขตภูเขา(พชภ.) องค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International Rivers) และสำนักข่าวชายขอบ Transborder News ได้จัดกิจกรรมพาสื่อมวลชนลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลและสะท้อนข้อเท็จจริงกรณีมลพิษข้ามพรมแดน สารพิษปนเปื้อนแม่น้ำกกและแม่น้ำสาย โดยมีนักข่าวและช่างภาพทั้งจากส่วนกลางและภูมิภาคกว่า 40 คน 17 สำนักข่าว เข้าร่วม

ทั้งนี้ในช่วงเช้าทั้งหมดได้ลงพื้นที่วัดท่าตอนและหมู่บ้านแก่งทรายมูล ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่แรกที่แม่น้ำกกไหลจากรัฐฉานเข้าสู่ประเทศไทย โดยพระอาจารย์มหานิคม มหาภินิกขมฺโม  ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าตอน กล่าวว่า ปัญหาสารพิษไหลลงแม่น้ำกกครั้งนี้อยากให้เห็นความเดือดร้อนชุมชน เป็นความเดือดร้อนของคนในชาติ ที่จะต้องรณรงค์ให้แม่น้ำกกกลับฟื้นคืนมาเหมือนเดิม  

“ปัญหาการปล่อยสารพิษจากเหมืองต้นน้ำ อยู่เลยเมืองยอนขึ้นไป 30กิโลเมตร มีการทำเหมือง ชาวบ้านเมืองยอนขึ้นไปทำกินในเขตทับซ้อน พอมีปัญหาก็กลับคืนมา ปัญหาน้ำกก เกิดขึ้นเมื่อปี 2566 ชาวบ้านยังไม่รับรู้ ต่อมาก็พบว่าเริ่มมีการทำเหมืองแร่แล้ว พอปี 2567 เกิดน้ำท่วม พัดเอาเมืองยอนที่ติดกับแม่น้ำกก น้ำท่วมหลาก ทำไมแม่น้ำไม่เหมือนก่อน ตอนอาตมาเด็กๆ 7-8 ขวบ น้ำกกเคยท่วมในระดับเดียวกัน แต่ปี 2567 ท่วมต่างกัน คือขุ่นข้น เมื่อก่อนค่อยๆท่วมวันละนิดไม่แรง ไม่ขุ่น ปีนี้น้ำกกไหลไม่ธรรมดา เป็นน้ำโคลน ปลาที่อยู่ในน้ำต้องกระโดดออกมาบนฝั่งเพราะไม่มีอากาศในน้ำ ดินโคลนไหลหลาก ปัจจุบันบ้านติดแม่น้ำท่วม 100 กว่าหลัง น้ำพัดไป 10 กว่าหลัง ไม่ได้พัดไปแค่บ้านแต่เอาที่ดินไปด้วย ความรุนแรงความเชี่ยวกราก ความแตกต่าง ฝนที่ตกยังเอาหน้าดินไหลลงแม่น้ำกกด้วย” พระอาจารย์มหานิคม กล่าว  

นางเตือนใจ ดีเทศน์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) เชียงราย กล่าวว่า เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ชาวบ้านท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เดินเท้าไป อ.แม่จัน จ.เชียงราย ไปซื้อของใช้ แม่น้ำกกเป็นพื้นที่เกษตรแหล่งภูมิปัญญาชนเผ่าทรงคุณค่าอารยธรรมล้านนา  “คำถามคือประชาชนตรงไหนมีความเสี่ยง ชาวบ้านที่ใช้น้ำกกในการเกษตร หาปลา น้ำประปาในเขตเทศบาลนครเชียงราย เด็กที่ลงเล่นน้ำ จะป้องกันได้อย่างไร” นางเตือนใจ กล่าว  

นางจุฑามาศ ราชประสิทธิ์ เจ้าหน้าที่อาวุโสมูลนิธิ พชภ.กล่าวว่า ได้มีการรวบรวมข้อมูลอุทกภัยเริ่มเมื่อเดือนกันยายน 2567 เพื่อหาสาเหตุที่อำเภอเมืองเชียงรายน้ำท่วมสูง เมื่อย้อนกลับไปดูบ้านท่าตอนพบว่ามีรายงานน้ำท่วมสูงก่อนอำเภอเมือง 8 ชั่วโมง ระยะทาง 80 กิโลเมตร  

“การเตือนภัย ประชาชนเราร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในเขตเทศบาลนครเชียงราย 3 ชุมชน 7 ชุมชนรับน้ำกก และ 2 ชุมชนปลายน้ำที่สบกก ปัญหาตอนนี้คือมีเหมืองเถื่อนที่ทำการเปิดหน้าดิน 40 แห่ง” นางจุฑามาศ กล่าว  

นายมนตรี จันทะวงศ์ กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง กล่าวว่า การตรวจพบสารหนูในแม่น้ำโขงซึ่งเป็นแม่น้ำที่ใหญ่มากที่น่าจะเจือจางแต่ยังเจอปริมาณสูงการปนเปื้อนยังมีอยู่ระดับสูง ในแม่น้ำมีบางช่วงที่ไม่ได้สุ่มตรวจอาจมีความเข้มข้น คำถามคือพบมากที่นี่จากสาเหตุอะไร ไม่นับในตะกอนดินที่เจอตะกั่ว สารหนูมีอยู่ในธรรมชาติ

น.ส.สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัย CHIA Platform กล่าวว่า การปนเปื้อนมลพิษแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวกและ แม่น้ำโขง โดยมีเหมืองแร่ที่ต้นน้ำ แม้ไม่มีข้อมูลแน่ชัดแต่มีการเปิดหน้าดิน โดยตั้งประเด็นถามถึงไม่มีข้อมูลว่าจัดการเหมืองแร่อย่างไรในพื้นที่พม่าซึ่งเป็นพื้นที่ขัดแย้ง  

“การตรวจพบมลพิษสารหนู โลหะหนัก แคดเมียม ตะกั่ว ตรวจตะกอนดินพบสารหนูเกือบทุกจุด ในขณะที่ปลาในแม่น้ำผิดปกติ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง คือไม่ต้องถามแล้วว่าพบสารหนูในแม่น้ำกกหรือไม่ เพราะมีการปนเปื้อนในน้ำจริงจากการทำเหมืองแร่ ปกติแล้วการจัดการความเสี่ยงจะมี 3 ขั้นตอนคือ ยุติแหล่งทำผิด ฟื้นฟูแหล่งปนเปื้อน และห่วงโซ่อาหาร มีการบอกว่าแหล่งทำเหมืองไม่อยู่ในอธิปไตย แต่การกำกับมลพิษข้ามแดนใช้หลายๆกลไก แต่ชีวิตชาวบ้านรอไม่ได้ แม้ไม่ได้รับพิษเฉียบพลันจากการดื่มน้ำที่สารปนเปื้อนไม่เกินค่ามาตรฐานค่อยๆได้รับสารสะสม 5-10 ปี รัฐบาลต้องสื่อสารให้ชาวบ้านรู้อย่างตรงไปตรงมา แล้วเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ทางไหน”น.ส.สมพร กล่าว

ขณะที่ในช่วงบ่าย คณะสื่อมวลชนได้ลงพื้นที่หมู่บ้านรวมมิตร ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย โดยได้รับฟังข้อมูลจากคนขับเรือ ผู้จัดการปางช้าง นักวิชาการ สมาชิกวุฒิสภา นักกฎหมาย และผู้ใหญ่บ้าน หลังจากนั้นได้ล่องเรือแม่น้ำกกไปยังอำเภอเมือง

นายศรีทน คำแปง ผู้จัดการปางช้างกะเหรี่ยงรวมมิตร กล่าวว่า แม่น้ำกกปนเปื้อนสารพิษส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว ล่องทัวร์ไม่ได้ นอกจากนี้น้ำที่ช้างใช้ดื่มและอาบเช้าเย็นในแม่น้ำกกก็ใช้ไม่ได้   ต้องต่อท่อประปาภูเขาห่างไปจากปางช้าง 4 กิโลเมตร น้ำไหลไม่มาก ปัญหาคือไม่มีน้ำที่ใช้อาบน้ำ ชาวบ้านหาปลาไม่ได้ ตอนนี้ที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือหาน้ำจากลำห้วย  เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนตอนนั้นแม่น้ำกกขุ่นแล้วก่อนผมจะรู้ข่าว ควาญก็พาช้างอาบน้ำ ปรากฏว่าช้างเป็นตุ่มเป็นหนอง” นายศรีทน กล่าว  

ด้าน ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ อาจารย์คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวว่าผลกระทบจากแม่น้ำกกปนเปื้อนมี 2 ด้าน คือ สังคมกับเศรษฐกิจ  

“การปนเปื้อนในแม่น้ำกกและสาย มีค่าปนเปื้อนโลหะหนัก สารหนู และตะกั่ว เกิดคำถามเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อมว่าจะเดินหน้าอย่างไรในการปกป้องชาวบ้าน ผมเป็นห่วงผลกระทบด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโลหะหนักผลกระทบไม่ได้เกิดทันที แม้ว่าคนสัมผัสจะเกิดอาการเจ็บป่วยก็ขึ้นอยู่กับส่วนบุคคล แต่ในระยะยาว เรื้อรังเราทราบกันดีว่าสารหนูเป็นสารก่อมะเร็ง” ผศ.ดร.เสถียร กล่าว  

อาจารย์มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวอีกว่า การแก้ปัญหาสารปนเปื้อนในแม่น้ำกก คณะกรรมการระดับจังหวัดมีมาตรการ 2 ระดับ 1.ในระดับจังหวัดข้าราชการมีอำนาจขอบเขตทำได้แค่ในพื้นที่ เก็บตัวอย่างน้ำส่งตรวจ 2. กรมควบคุมมลพิษ การบริหารจัดการมลพิษข้ามแดนของรัฐบาลไม่ชัดเจน ไม่มีเจตนารมย์แก้ปัญหา  

“การแก้ปัญหามี 3 ขั้นตอนคือ ที่แหล่งกำเนิดการแก้ปัญหาตรงนี้มีประสิทธิภาพสูง ระหว่างทางคือแม่น้ำจะฟื้นฟูอย่างไร และปลายทางคือประชาชนผู้ได้รับผลกระทบ เราตั้งกรรมการแล้วเปลี่ยนหัว 2 เดือนที่ผ่านมาไม่มีมาตรการแก้ปัญหาว่าแม่น้ำกกจะดีขึ้นได้อย่างไร” ผศ.ดร.เสถียร กล่าว  

นายสุรชัย ตรงงาม ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิ เสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวว่า มลพิษข้ามพรมแดนเป็นปัญหามากมาตรการในไทยยังไม่มีความชัดเจนต้องมีกระบวนการส่วนร่วมมากกว่านี้  

“มลพิษเกิดขึ้นในอัตราส่วนเท่าไร มีปัญหาเฉพาะหน้าและระยะยาวอย่างไร ให้อำนาจคณะกรรมการควบคุมมลพิษที่ปัจจุบันยังพูดกันไปคนละแนว โจทย์ใหญ่รัฐบาลต้องชัดเจน สิทธิของประชาชนในการติดตามเรื่องนี้ การดำเนินงานของรัฐล่าช้า ประชาชนต้องใช้สิทธิฟ้องร้องศาลที่ละเลยในการใช้มาตรการรัฐ ภาคประชาชนต้องหารือผลักดันว่าจะมีส่วนร่วมอย่างไร” นานสุรชัย กล่าว  

ด้านนางอังคณา นีละไพจิตร ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ กล่าวว่า รู้สึกตกใจมากที่รู้ว่าคณะกรรมการระดับจังหวัดรู้ข้อมูลสารพิษแล้วถูกรัฐขอให้ปิดไว้ก่อน ถ้าจริงนี่คือความผิดพลาดอย่างมาก เรามีกลุ่มเปราะบางที่ได้รับสารพิษเพิ่มขึ้นทุกวันจะเสียหายต่อร่างการขนาดไหน ขนาดช้างที่มีผิวหนายังมีตุ่มพอจากการลงอาบน้ำกกแล้วเด็กๆที่ลงเล่นน้ำจะส่งผลอย่างไร ตรงนี้สำคัญมาก ต้องไม่ลืมว่าไทยมีกลไกอาเซียนทำไมไม่ใช้ช่องทางเจรจากับพม่า ยิ่งผู้ประกอบการมีทุนจีนเกี่ยวข้องรัฐบาลไทยมีความแนบแน่นกับจีนทำไมเรื่องแค่นี้ไม่ยกระดับจริงจังปล่อยให้ชาวบ้านเผชิญปัญหา” นางอังคณากล่าว  

ในขณะที่ ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่าปัญหามลพิษข้ามพรมแดนไม่ต่างจากสแกมเซ็นเตอร์แม้ว่าจะมีการตั้งหน่วยจัดการแก้ไขปัญหาแต่ก็แก้ไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์   รัฐบาลต้องปลดล็อคให้ได้ว่าปัญหาข้ามแดนจะทำอย่างไร ปกติรัฐบาลจะมองว่าแก้ไม่ได้เพราะต้นตอไม่ได้อยู่ในไทย พื้นที่ชายแดนปัจจุบันที่คุกคามไทยเป็นปัญหาใหม่ๆทั้งสิ้น เราไม่เคยเจอว่าแม่น้ำทั้งสายชาวบ้านนำมาใช้ไม่ได้ ท

“ต้องปลดล็อคอีกเรื่องคือต้องยอมรับว่าปัญหาความมั่นคงระดับ 5 ดาวแล้ว มลพิษข้ามแดนกระทบกับคนเชียงรายและเชียงใหม่ เราคาดเดาปัญหาอุปนิสัยที่มีทุนจีนเข้ามาจะรุนแรงขึ้นในอนาคต” ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว  

ผศ.ดร.ลลิตา กล่าวอีกว่า มี 2 ประเด็นที่รัฐต้องทำในการแก้ปัญหามลพิษปนเปื้อนแม่น้ำกกคือ   1.รัฐปลดล็อคแสดงความจริงใจกับประชาชนว่าแม่น้ำกกเป็นปัญหาภัยความมั่นคงสูงสุดกระทบชีวิตประชาชนร้ายแรง  

 “ยังไม่มีคนตายแต่เป็นปัญหาสะสมระยะยาวทิ้งไว้อาจมีคนป่วยทั้งหมู่บ้าน ต้องยอมรับว่าปัญหาเกิดขึ้นจริง” ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว   และว่า 2.ดีลถกปัญหากับว้าแดง ต้องปลดล็อคด้วยการส่งคนเข้าไปคุย  

 “ต้องยอมรับก่อนว่าว้าไม่เป็นประเทศ จะให้ไทยส่งคนไปคุย รัฐบาลไทยไม่มีวันทำ ส่งคนสูงเกินไปกับคนไม่มีสถานะทางการเมือง แต่เราต้องรีบส่งคนเข้าไปพูดคุยอย่างจริงจัง รัฐไทยกลัวเนปิดอว์ไม่สบายใจ แต่เนปิดอว์เองก็เกรงใจว้า การส่งคนไปคุยทำได้ แต่ต้องส่งสัญญาณไปเนปิดอว์ว่าขอคุยเพราะวันนี้คือความมั่นคงของประเทศ ชาวบ้านเราตายผ่อนส่ง แต่เรากลับมานั่งท่องว่าว้าไม่ใช่รัฐ ต้องปลดล็อคตรงนี้ให้ได้” ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว

————