ช่วง พ.ศ.2511-2517 เป็นช่วงที่กิจกรรมของนักเรียน นิสิต นักศึกษา บานสะพรั่ง ทั้งกิจกรรมเสริมวิชาการ จิตสำนึกทางการเมือง สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม มีชมรมในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยให้เลือกเข้าร่วมได้อย่างหลากหลาย นักคิด นักบริหารชั้นนำ เช่น ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ อาจารย์สุลักษณ์ ศิวลักษ์ พระภิกษุ เช่น ท่านพุทธทาส ท่านปัญญานันทภิกขุ สร้างกิจกรรมที่ส่งเสริมคุณธรรมสติปัญญาให้แก่คนหนุ่มคนสาว ขณะเดียวกันความฟุ้งเฟ้อของนักศึกษาในรูปงานบอลล์ การประกวดความงามก็มีมากมาย มีคำถาม “ฉันจึงมาหาความหมาย” โดยวิทยากร เชียงกูล มีบทกวีตั้งคำถามหาความหมายในชีวิตต่อสังคม ความตายของครูโกมล คีมทอง รัตนา สกุลไทย บัณฑิตหนุ่มสาวที่ออกไปเป็นครูในชนบทภาคใต้ ก่อให้เกิดกระแสการขานรับในหมู่คนหนุ่มสาวยุคใหม่ผ่านมูลนิธิ โกมล คีมทอง มีความพยายามหาทางออกจากลัทธิคอมมิวนิสต์ สังคมนิยม หรืออนุรักษ์สุดขอบ สู่เส้นทางประชาธิปไตยและสันติประชาธรรม จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ขึ้น

นิสิตหญิงคนหนึ่งแห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้ศึกษาและเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้อย่างเงียบ ๆ และต่อเนื่อง มีความประทับใจในกิจกรรมค่ายชาวเขา ได้พบวิถีชีวิตที่สงบสุข เรียบง่าย เป็นอิสระ อยู่กับธรรมชาติในพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร มีวิถีชีวิต วัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ห่างไกลจากอิทธิพลของสังคมเมือง เธอคิดที่จะใช้ชีวิตเพื่อประโยชน์ต่อชุมชนชาวเขาและชนบทซึ่งเป็นชนส่วนใหญ่ของประเทศ ตามพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงตั้งโครงการหลวงพัฒนาชาวเขาด้วยพระทัยที่เปี่ยมด้วยเมตตา

โครงการบัณฑิตอาสาสมัคร ของสำนักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คืองานที่เธอ เตือนใจ กุญชร ณ อยุธยา ได้เลือกหลังเรียนจบเป็นบัณฑิต ระหว่าง พ.ศ.2517-2519 ได้คิดค้นงานด้านการศึกษา การเรียนรู้วัฒนธรรม การอนุรักษ์ธรรมชาติ ร่วมกับชุมชนชาวเขาบ้านปางสา และหมู่บ้านอื่น ๆ ในลุ่มน้ำแม่จัน โดยมีเจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาเป็นพี่เลี้ยงที่ดี รวมทั้งได้แนวคิด และสื่อการเรียนจากโครงการการศึกษา ผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จ กองการศึกษาผู้ใหญ่ ภาควิชาประถมศึกษาคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ เธอทำงานร่วมกับชาวบ้านอย่างมีความสุขเสมือนเป็นลูกหลานของชาวบ้าน ซึ่งเรียกเธอว่า “ครูแดง” จนเกิดเหตุการณ์พลิกผันทางการเมืองครั้งสำคัญ 6 ตุลาคม 2519 บัณฑิตอาสาฯ ถูกสั่งให้หยุดงานออกจากพื้นที่

ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ อาจารย์สุนทร สุนันท์ชัย คือผู้ใหญ่ในกระทรวงศึกษาธิการ ที่เห็นคุณค่าของงานที่ครูแดงทำด้วยใจบริสุทธิ์ ม่งมั่น จึงรับให้เข้าทำงานในโครงการการศึกษาผู้ใหญ่แบบเบ็ดเสร็จสำหรับชาวเขา ตั้งแต่ พ.ศ.2520-2522 โดยทำงานที่บ้านปางสาตามเดิม ช่วยงานพัฒนาหลักสูตรแบบเรียนและการฝึกอบรมให้กองการศึกษาผู้ใหญ่ ต่อเนื่องด้วยกาเข้าเป็นคณะเลขานุการ “โครงการศูนย์การศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา (ศศช.)” ของกรมการศึกษานอกโรงเรียน ในปี พ.ศ.2523-2527 ซึ่งเป็นช่วงที่เธอได้พบกัลยาณมิตรทั้งภาคราชการ องค์กรพัฒนาเอกชน นักคิด ได้อ่านหนังสือและร่วมกิจกรรมหลากหลาย ข้อคิดของศ.นพ.ประเวศ วะสี ในนิตยสารหมอชาวบ้านที่เธอได้อ่านอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เข้าใจรากเหง้าของปัญหาสังคม และแนวทางแก้ไข ช่วยให้เธอมั่นใจในทางเดินของชีวิตเพื่อรับใช้ประชาชนมากขึ้น

ข้อจำกัดของการทำงานที่ผ่านมาทำให้ครูแดง คิดถึงการก่อตั้งองค์กรที่ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อคนรุ่นใหม่ที่ทำงานได้อย่างต่อเนื่องมีความสุข โดย ดำรงอิสรภาพทางความคิด ความคล่องตัวและมีประสิทธิภาพในการทำงาน ซึ่งได้กัลป์ยานมิตรคนสำคัญ คือ สุจิตรา สุดเดียวไกร (โย่ง) รองผู้อำนวยการโครงการอาสาสมัครเพื่อสังคม (คอส) เป็นหลักในการคิดวางรากฐานก่อตั้งองค์กรนิติบุคคลสาธารณประโยชน์ เพื่อทำงานกับชุมชนชาวเขาเขตชายแดนไทยพม่า อันเป็นแหล่งต้นน้ำแม่จัน-แม่สลอง สานต่องานที่ทำไว้สมัยงาน ศศช. ใช้ชื่อว่า “มูลนิธิพัฒนาชุมชนในเขตภูเขา” (พชภ.) ได้รับความเมตตาจาก ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง รับเป็นประธานคนแรก ส่วนเงินจดทะเบียนมูลนิธิฯ คุณชูเกียรติ อุทกพันธ์ กรุณาให้ยืมจำนวน 200,000 บาท

งานแรกของมูลนิธิพัฒนาชุมชนในเขตภูเขา (พชภ.) เริ่มด้วยโครงการสำรวจข้อมูลทางสังคมเศรษฐกิจเบื้องต้น ในพื้นที่ต้นน้ำแม่จัน-แม่สลอง ตั้งแต่ พ.ศ.2528-ต้นปี 2529 ได้รับทุนจากกองทุนพัฒนาท้องถิ่นไทย-แคนาดา (LDAP) ซึ่งมีคุณอเนก นาคะบุตร เป็นผู้ประสานงาน คณะสำรวจ ประกอบด้วย คุณธนูชัย ดีเทศน์ หัวหน้าหน่วยพัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาบ้านปางสา เป็นหัวหน้าคณะ พร้อมด้วยผู้นำในกลุ่มปางสา ครู ศศช. กลุ่มปางสา นักวิจัยจากศูนย์วิจัยชาวเขา กรมประชาสงเคราะห์ ร่วมกันสำรวจ โดยเลือก 10 หมู่บ้านที่พร้อมจะร่วมกันทำงาน ข้อมูลจากการสำรวจได้นำมาเขียนโครงการการศึกษาเพื่อชุมชนในเขตภูเขา ซึ่งเป็นโครงการระยะที่หนึ่ง 3 ปี ระหว่าง พ.ศ.2529-2532 ใช้ทุน LDAP เน้นงานการสนับสนุนการตั้งถิ่นฐานถาวร การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับเด็ก ผู้ใหญ่ การอนุรักษ์ป่าต้นน้ำลำธารและการส่งเสริมสิทธิหน้าที่ประชาชนที่ดี โดยได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการชาวเขาจังหวัดเชียงราย ให้เข้าดำเนินงานพื้นที่ได้ ซึ่งมีศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดเชียงราย เป็นกำลังหลักในการสนับสนุนเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เข้ารับการอบรมหลักสูตร ศศช. และใช้หลักสูตร ศศช. เป็นแนวทางหลักในการจัดการศึกษาร่วมกับชุมชน

ช่วงชีวิต พชภ.


ยุค กอ.ไก่ ขอ.ไข่

เสียงหมาเห่าดังเกรียวกราวไปทั้งหมู่บ้าน เมื่อมีคนแปลกหน้าเดินทางมาเยี่ยมเยือน มีเด็กๆ ผู้เฒ่า ผู้แก่ มามุงดูกันเป็นขบวน หน้าตาช่างไม่เหมือนพรรคพวก แบกเป้ใบใหญ่ สะพายถุงย่าม เหงื่อโชกไปทั้งตัว และคนในจำนวนนี้ก็เริ่มแนะนำตัวว่า “พวกเรามาจากมูลนิธิพัฒนาชุมชนในเขตภูเขาของครูแดงไง จะมาอยู่ในหมู่บ้านของพวกเรา จะมาเป็นครูสอนหนังสือภาษาไทยให้พวกเรานะ” จากนั้นก็ตามด้วยภาษามือภาษาไม้เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ เพราะชุมชนยังพูด ฟัง ภาษาไทยไม่ได้ จากนั้นชาวบ้านก็พาไปยังบ้านผู้นำของหมู่บ้าน ค่ำคืนนั้นเองก็ได้ยินเสียงป่าวประกาศของผู้นำที่เรียกลูกบ้านมาชุมนุมกันที่บ้าน บรรยากาศจึงดูคึกคักเป็นพิเศษ สำหรับค่ำคืนนั้นมีเด็ก ๆ ผู้ใหญ่ ทั้งชายหญิงมาชุมนุมกัน เมื่อทุกคนมาพร้อมหน้า ผู้นำของหมู่บ้านจึงเริ่มพูดเป็นคนแรกด้วยภาษาประจำเผ่าว่า “คืนนี้ที่เรียกทุกท่านมาประชุมกันที่นี่นั้น เพราะว่าหมู่บ้านของเราจะมีครูมาอยู่แล้ว จะมาสอนหนังสือชาวบ้านเราจะได้พูดภาษาไทยเป็น” มองดูใบหน้าของทุกคนช่างอิ่มเอิบดีใจ มีการพูดคุยซักถามเรื่องราวต่าง ๆ มากมายตามมาจนเสร็จสิ้นการประชุม

 

พอวันรุ่งขึ้น พวกผู้ชายได้แบกจอบบ้าง ถือมีดบ้าง ถือเสียมบ้าง มารวมกันที่ลานหมู่บ้าน ผู้นำได้แบ่งหน้าที่ให้ทุกคนทำ บางคนไปตัดไม้ บางคนขุดดินปรับที่ เพื่อทำการสร้างโรงเรียนและบ้านพักของครู หลังจากได้ตกลงกันเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาแล้ว ทุกคนมีความขยันขันแข็งและดูมีความสุขกันเหลือเกิน โรงเรียนและบ้านพักครูถูกสร้างแล้วเสร็จภายในสองสามวันด้วยรูปทรงง่ายๆ แต่ดูมั่นคงแข็งแรงดี หลังจากนั้นครูก็ลงมือกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อใช้ในวันแรกและวันต่อ ๆ ไป โดยกลางวันสอนเด็ก ๆ ส่วนกลางคืนสอนผู้ใหญ่ โรงเรียนจึงเป็นจุดศูนย์กลางของเด็ก ๆ ของชาวบ้านที่จะมาเรียนหนังสือและมาเล่น ส่วนกลางคืนโรงเรียนเป็นจุดศูนย์กลางแห่งเดียวของหมู่บ้านที่มีแสงสว่างจัดจ้าจากตะเกียงเจ้าพายุดวงเดียวในหมู่บ้าน ครูอยู่ในหมู่บ้านด้วยความอบอุ่นใจ กลางคืนหลังจากการสอนหนังสือมีผู้เฒ่าผู้แก่มาคุยเป็นเพื่อนที่โรงเรียน หรือไม่ครูเองก็เป็นฝ่ายไปเยี่ยมชาวบ้าน พูดคุยกับชาวบ้านท่ามกลางความอบอุ่นรอบเตาไฟ พูดคุยไปจิบน้ำชาไป ชาวบ้านรุมกันถามด้วยความสนใจครูคนใหม่ ด้วยเนื้อหาสาระต่าง ๆ “ครูอยู่กับพวกเรานานไหม? ครูอย่าไปไหนนะ? ถ้าครูกลับแล้วใครจะมาอยู่แทน?” เป็นคำถามจากชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่มีให้ยินดีเสมอ อาหารการกินครูแทบไม่ได้ซื้อและทำเลย ในแต่ละมื้อแต่ละวันจะมีชาวบ้านคนโน้นคนนี้มาชวนไปกินข้าวด้วยที่บ้านเสมอ แต่ครูก็ไม่ลืมที่จะหิ้วอาหารไปสมทบด้วย เช่น ไข่ ปลาทู ปลากระป๋อง ด้วยความเกรงใจ

ในช่วงแรกนั้น เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ (ครู) จะอยู่ในหมู่บ้านราว 25 วันต่อเดือน จะออกจากหมู่บ้านก็ต่อเมื่อต้องมาประชุมประจำเดือนและพักประจำเดือน เดือนละ 5 วัน การเดินทางจะเดินทางด้วยเท้าไปบนทางเดินเล็ก ๆ ที่ชาวบ้านช่วยกันทำไว้ หรือบางเส้นทางแค่ถางหญ้าออกพอให้เห็นเป็นทาง บางหมู่บ้านที่ไกลหน่อยก็จะมีชาวบ้าน หรือเด็ก ๆ เดินทางมาส่งครูเป็นขบวนจนถึงถนนใหญ่ หรือจุดที่ชาวบ้านและเด็กคิดว่าครูคงเดินเองได้แล้วและปลอดภัย มีการนัดหมายวันเวลาที่จะมารับครู ถ้ามีสัมภาระมากชาวบ้านก็จะนำม้ามาช่วยต่างของไป นี่เป็นน้ำใจที่ชุมชนมอบให้กับครูผู้เสียสละ ในแต่ละเดือนของการประชุม เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้สึกดีใจและได้สนทนาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน “เป็นอย่างไรบ้างหมู่บ้านของเธอ นักเรียนพูดภาษาไทยได้กี่คน ผู้เฒ่าผู้แก่พูดภาษาไทยได้กี่คนแล้ว ได้ยินเสียงหืนเสียงระเบิดหรือเปล่า ปลอดภัยดีไหม” และอื่น ๆ อีกมากมาย หลังประชุมเสร็จทุกคนก็กลับไปหมู่บ้านของตนเอง ขวัญและกำลังใจจากเพื่อนร่วมงาน

 

จากการดำเนินงานช่วงแรก 5 หมู่บ้าน ได้ขยายเป็น 10 หมู่บ้าน ตามการร้องขอของชาวบ้าน จำนวนเจ้าหน้าที่ก็เพิ่มขึ้นตามพื้นที่และปริมาณงาน ไม่เพียงแต่จัดการเรียนการสอนเท่านั้น บทบาทของเจ้าหน้าที่ได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามสถานการณ์และสภาพปัญหาของชุมชน การพัฒนาคุณภาพชีวิตของชุมชนให้ดีขึ้น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ การส่งเสริมและพัฒนาระบบการเกสรให้มีความเหมาะสมและยั่งยืน การพัฒนาศักยภาพองค์กร ชุมชน และการติดต่อประสานงานหน่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง จนถึงในขณะนี้ชาวบ้านพูดภาษาไทยได้มากขึ้น เด็กและเยาวชนฟัง พูด อ่านภาษาไทยได้มากขึ้น และได้รับการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น